ในยุคที่เศรษฐกิจผันผวนจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า ทำให้การหาเงินและสร้างรายได้ ต้องปรับเปลี่ยนให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงอย่างเร่งด่วน รายได้ทางเดียวอาจจะไม่เพียงพออีกต่อไป โดยแนวคิดของการหารายได้มีด้วยกัน 2 รูปแบบ นั่นคือ Active Income และ Passive Income
สงสัยกันมั้ยว่า แนวคิดทั้งสอบแบบแตกต่างกันอย่างไร ? ความแตกต่าง Passive Income และ Active Income แตกต่างกันตั้งแต่แนวคิดในการหารายได้ ซึ่งทั้งสองวิธีนี้ต่างมีข้อดี-ข้อด้อยในตัวมันเอง มาหาคำตอบไปด้วยกันว่า Passive Income และ Active Income ต่างกันอย่างไร ?
Active Income คืออะไร
Active Income คือรายได้จากการที่เราทำงาน เพื่อให้เกิดรายได้ ซึ่งรายได้นั้น นับรวมถึงเงินเดือน ค่าคอมมิสชัน เงินฟรีแลนซ์ ต่าง ๆ หรือที่เราเรียกตามที่เข้าใจคือการทำงานแลกเงินนั่นเอง
Active Income มีข้อจำกัด ทางด้านทรัพยากรในเรื่องของเวลา และร่างกายเป็นหลัก เพราะเวลามีจำกัด และการจะทำให้รายได้เพิ่มขึ้นได้นั่นคือการพัฒนาทักษะ ความรู้ ความสามารถ ให้รายได้ของเราเพิ่มขึ้น เช่น นาย A จากที่เมื่อก่อนเราเคยทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน ได้ค่าจ้างรายเดือน 15,000 บาท แต่ตอนนี้ในชั่วโมงทำงานเท่าเดิม นาย A อาจจะทำรายได้มากขึ้นเป็นสองเท่า คือ 30,000 บาท หมายถึงว่านาย A สามารถเพิ่มรายได้ Active Income เพิ่มเป็น 2 เท่าในเวลาทำงานเท่าเดิม
แต่ในยุคที่มีความไม่แน่นอนในหลากหลายรูปแบบ การทำรายได้จากช่องทางเดียวจึงไม่ใช่คำตอบเดียวเสมอไป การเพิ่มรายได้ Active Income มากกว่า 1 ช่องทาง เช่นการทำรายได้จากงานประจำอยู่แล้ว ยังต้องมองหารายได้จากฟรีแลนซ์ เป็นรายได้สำรองอีกด้วย หรือการเริ่มทำรายได้เพิ่มเติมจากขายของออนไลน์
โดยเมื่อเราทำงานอย่างหักโหมเพื่อให้เกิดรายได้มากขึ้น สุขภาพร่างกายก็จะทรุดโทรมอย่างรวดเร็ว ซึ่งรายได้ที่หามาได้ก็นำไปรักษาสุขภาพจนหมด
ดังนั้นเมื่อเรามี Active Income ในระดับหนึ่งแล้ว การลงทุนจึงเป็นตัวเลือกที่ดี เพื่อสร้าง Passive Income ที่ควบคู่กันไป ทำให้เกิดรายได้อย่างยั่งยืน และสมดุลกันนั่นเอง
Passive Income คืออะไร
Passive Income คือ รายได้ที่เกิดจากการให้เงิน หรือทรัพย์สินทำงานแทนเรา สร้างมูลค่าให้เพิ่มขึ้น โดยอาจใช้เวลาแต่ไม่มากเท่ากับแบบ Active Income ที่เห็นได้ชัดคือการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ แล้วปล่อยเช่า หรือการลงทุนในหุ้น ลิขสิทธิ์ทางปัญญา รวมไปถึงการลงทุนในประเภทอื่นๆ
ทุกคนจึงควรมีรายได้แบบ Passive Income เพื่อให้เกิดความมั่นคงในชีวิต และสามารถใช้ชีวิตได้ตามต้องการ เพราะ Passive Income จะทำให้เราไม่ต้องเหนื่อยมากนั่นเอง แต่การที่จะได้ Passive Income ในช่วงแรกต้องมีความอดทนพอสมควร
ความแตกต่าง Passive Income และ Active Income ต่างกันแค่ไหน
- Active Income เราจำเป็นต้องทำงาน เพื่อให้ได้มาซึ่งรายได้ ส่วน Passive Income ใช้ทรัพย์สินทำงานแทนเรา เพื่อให้เกิดรายได้
- Active Income มีเวลาจำกัด คือตราบเท่าที่เราทำงานได้ แต่ Passive Income นั้น ถึงเราจะทำงานไม่ได้แล้ว แต่เราก็ยังมีรายได้อยู่
- Active Income คือการทำงานแล้วเราได้รับผลตอบแทนเกือบจะทันที เช่นได้รับเป็นค่าจ้าง แต่ถ้าเป็น Passive Income ต้องใช้ระยะเวลาเพื่อให้เกิดรายได้
โดยสรุปแล้ว หลักการทำงานแบบ Passive Income คือการที่เงินทำงานเพื่อคุณ ส่วน Active Income คือการที่คุณทำงานเพื่อเงินนั่นเอง ดังนั้นการมีรายได้ทางเดียวอาจไม่มั่นคงสักเท่าไรนัก จึงควรมีรายได้ทั้งสองทางจะดีกว่า
Passive Income จากอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน
Investment Property (IP) หรืออสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน เป็นเทรนด์ใหม่ของการลงทุนอสังหาฯ ในแบบ Passive Income สร้างผลตอบแทนโดยไม่ต้องลงแรงทำงาน เหมาะสำหรับคนที่หาเงินด้วย Active Income มาจำนวนหนึ่งแล้ว และนำเงินจำนวนนั้นมาลงทุนต่อเพื่อทำให้เกิดปันผล และนำเงินปันผลนั้นกลับมาใช้จ่ายรายเดือนได้ โดยปัจจุบันมีผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนหลายเจ้า โดย 1 ในนั้นคือ บริษัท CISSA GROUP ซึ่งได้พัฒนาโครงการ Wyndham Grand Nai Harn Beach Phuket ในพื้นที่ท่องเที่ยวภูเก็ต และได้ Wyndham Hotels & Resorts แบรนด์บริหารโรงแรมชื่อดังระดับโลกมาบริหารงานโรงแรม โดยเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้เข้ามาร่วมลงทุน และได้รับปันผลสูงถึงปีละ 8% ต่อปี แถมมี Buy Back จ่ายคืนเต็มจำนวน ทำให้นักลงทุนสร้างผลตอบแทนคุ้มค่า และยั่งยืน สวนทางกับตลาดที่มีความผันผวนอย่างหนักหน่วง